SEO (Search Engline Optimization) คือ กระบวนการทำตลาดออนไลน์และเป็นวิธีการที่ทำให้ทราฟฟิกเว็บกลุ่มเป้าหมายเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณจากการติดอันดับบนเซิชเอ็นจิ้น อย่าง Google ซึ่งวิธีการที่นคนนิยมทำกันก็คือ สร้างคอนเทนต์บทความที่มีคุณภาพ ปรับแต่งเว็บไซต์ให้เข้ากับคีย์เวิร์ดที่ต้องการ และสร้างแบ็คลิงค์ หรือสรุปสั้นๆได้ใจความตามนี้: SEO คือการดันอันดับเว็บไซต์ในหน้าการแสดงาการค้นหาบน Google โดยไม่ต้องจ่ายเงินยิงแอด
แน่นอนครับว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำ SEO ก็คือ เมื่อเว็บของคุณติดอันดับต้นๆในหน้าแรกของการแสดงผลการค้นหาของแต่ละคีย์เวิร์ด คุณจะได้รับทราฟฟิกคนเข้าเว็บของคุณ “ฟรี” ทุกเดือน ไม่ต้องคอยเสียเงินค่ายิงแอดโฆษณาอยู่
สารบัญ
Google Search Engine ทำงาน อย่างไร?
เราลองมาเรียนรู้กันว่า เซิชเอ็นจิ้น ทำงานยังไงบ้าง
เวลาที่คุณกดค้นหาอะไรบางอย่างบน Google ทางเว็บไซต์จะทำการประมวลผลด้วย algorithms ที่จะช่วยแสดงผลที่ดีที่สุด หมายความว่า Google แสกนเว็บ หนึ่งแสนล้านเว็บ ก่อนที่จะแสดงผลให้กับคุณ แล้ว Google รู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าเว็บไหน คือ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ถึงแม้ว่า Google จะไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะว่าพวกเขาทำอย่างไรเป็นรายละเอียด แต่พวกเรารู้แน่ๆว่าพวกเขาแสดงอันดับการค้นหาจากปัจจัยพวกนี้:
Relevancy (ความเกี่ยวข้อง)
เวลาคุณเซิชคำว่า ช็อคโกแลต คุณคงไม่อยากเห็นผลการค้นหาเกี่ยวกับ จอคอมพิวเตอร์ ใช่ไหมครับ
ดังนั้น Google จึงมองหา คีย์เวิร์ดที่ใกล้เคียงที่สุด เป็นอันดับแรก
แต่ว่าทาง Google ก็ไม่ได้จัดอันดับจากความเกี่ยวข้องอย่างเดียว เพราะว่ามีหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องกับคำที่คุณค้นหาเป็นแสนเป็นล้านหน้า
ยกตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดคำว่า ช็อคโกแลต มีผลลัพธ์การค้นหาตั้ง 7 ล้านกว่าหน้าเว็บ
ดังนั้น ผลลัพธ์ที่แสดงอันดับแรกๆ มาจากปัจจัย 3 อย่างด้วยกัน คือ:
Authority (ความมีอำนาจ)
Authority ของเว็บไซต์แต่ละเว็บ เป็นตัวบ่งบอก Google ว่าเว็บของคุณมีข้อมูลถูกต้องและน่าเชื่อถือหรือไม่
คำถามคือ แล้ว Google รู้ได้อย่างไรว่า เว็บเพจของคุณ น่าเชื่อถือ?
เขาก็ดูจำนวนเว็บเพจที่ลิงค์เข้ามาหาเว็บเพจของคุณไงล่ะครับ
ลิงค์จากเว็บอื่นเขาเรียกกันว่า Backlinks หรือ แบ็คลิงค์ ครับ
ดูแบบเผินๆก็คือ เว็บที่มี Backlinks ยิ่งเยอะ ก็จะยิ่งมีอันดับที่สูงขึ้นตามไปด้วยครับ
Usefulness (ความมีประโยชน์)
คอนเทนต์ที่คุณผลิตอาจจะมีความเกี่ยวข้องสูงและมีอำนาจสูง แต่ถ้ามันไม่มีประโยชน์ละก็ Google จะไม่มีทางแสดงผลลัพธ์ให้อยู่ในอันดับที่สูงแน่นอน ซึ่ง Google เคยบอกแล้วว่า คอนเทนต์ที่มีคุณภาพยังสู้คอนเทนต์ที่มีประโยชน์ไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น สมมติคุณค้นหาคำว่า “Paleo Diet”
ผลลัพธ์แรกที่ขึ้นมา เราเรียกมันว่า “Result A” ซึ่งเป็นหน้าเว็บที่เขียนโดย Paleo เอง และด้วยความที่มันเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง หลายเว็บไซต์ก็เลยลิงค์ไปหาเว็บนั้น
แต่คอนเทนต์ที่เขาเขียน รกหูรกตา อ่านไม่รู้เรื่อง หลายคนเข้าเว็บไปก็ไม่เข้าใจเนื้อหาอยู่ดี
ในขณะที่ Result B หรือเว็บเพจ B เป็นเว็บที่เขียนโดยบล็อกเกอร์ที่เพิ่งเริ่มทำ Paleo Diet และยังไม่มีคนรู้จักมากนัก เว็บนี้เลยยังไม่มีแบ็คลิงค์สักเท่าไหร่
แต่! คอนเทนต์ของเขาถูกจัดเรียงให้อ่านง่าย เข้าใจทันที และเป็นคอนเทนต์ที่อ้างอิงจากความจริง
Result B ก็จะถูกดันอันดับให้สูงกว่า Result A ในทันที
Google วัด usefulness จาก User Experience Signals (UX) เป็นหลักครับ
หมายความว่า การที่คนเข้าเว็บทำอะไรกับผลค้นหาบ้าง ถ้าคนเข้าเว็บอยู่หน้าเว็บนาน คลิกนู่นคลิกนี่ ไม่รีบปิดหนี ก็จะทำให้เว็บนั้นมีอันดับสูงครับ
ทริค SEO อันดับ 1 ในการทำให้เว็บ ติดหน้าแรก
ผมอยากให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่ผู้คนชอบและอยากกลับมาอีก Google ถูกออกแบบมาให้วัด User Experience Signals ทั้งเว็บของคุณ เพื่อที่จะหาว่าเว็บไหนที่คนชอบมากที่สุด แปลว่าหากคุณกำลังเขียนบทความ อย่าเขียนให้ Google แต่เขียนให้คนจริงๆอ่าน แล้วรับรองเลยครับว่าเว็บของคุณจะไต่อันดับขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
SEO ทำงาน อย่างไร?
SEO ทำงานโดย การปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ Google ชื่นชอบ
ถ้าจะอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ก็คือ งานของคุณคือการทำให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะสมที่จะแสดงผลลัพธ์ในหน้าการค้นหาของแต่ละคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ
การวัดผลว่าเว็บไซต์ของคุณคู่ควรกับอันดับต้นๆหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างมาก อย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น เช่น Authority, Relevance, Usefulness ความเร็วของเว็บ หรือแม้แต่ดีไซน์ ครับ
ซึ่งจริงแล้ว Google ได้ตั้งปัจจัยการติดอันดับไว้มากกว่า 200 ปัจจัยด้วยกัน
ผลการค้นหาแบบ Organic (ธรรมชาติ) Vs Paid (จ่ายเงิน)
การแสดงผลการค้นหาแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ Organic กับ Paid ครับ
ผลการค้นหาแบบ Organic
การแสดงผลแบบ Organic จะเป็นการที่เว็บไซต์นั้นถูกเลือกโดยธรรมชาติ 100% ด้วยคุณภาพและปัจจัยที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น
แปลว่า คุณไม่สามารถจ่ายเงิน Google เพื่อให้ไต่อันดับมากกว่านี้ได้ คุณต้องปรับที่เว็บไซต์ของคุณเอง
อย่างที่บอกครับ จริงๆแล้วมีปัจจัยมากมายที่เป็นตัวชี้วัดว่าเว็บไหนเหมาะสมที่อยู่อันดับต้นๆ แต่โดยภาพรวมแล้วก็คือ Authority, Relevance, Usefulness ครับ
แปลว่า โดยรวมแล้ว ผลการค้นหาแบบ Organic น่าจะดีกว่า แบบ Paid ครับ
ผลการค้นหาแบบ Paid
ผลลัพธ์การค้นหาที่อยู่ด้านบนสุดหรือเหนือกว่าผลการค้นหาแบบ Organic คือผลการค้นหาที่ต้องจ่ายเงินให้กับทาง Google ครับ
การยิงแอดโฆษณาเป็นการแสดงผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลการค้นหาแบบ Organic โดยสิ้นเชิงครับ คนลงโฆษณาจะต้องจ่ายเงินมากน้อยขึ้นอยู่กับการแข่งขันของแต่ละคีย์เวิร์ด หากต้องการอันดับที่สูง ก็ต้องจ่ายเงินต่อคลิกให้มากขึ้นด้วยครับ ซึ่งระบบนี้เราเรียกกันว่า Pay Per Click Advertising ครับ
SEO สำคัญ อย่างไร?
ถ้าจะให้ตอบสั้นๆ ได้ใจความก็คือ : Google เป็นพื้นที่ทำการตลาดที่โคตรใหญ่
ผมอยากให้คุณลองดูสถิติแหล่งทราฟฟิคที่เข้ามาหาเว็บในปัจจุบันครับ
จะเห็นได้ว่าเกือบ 60% ของทราฟฟิคที่เข้าเว็บไซต์บนโลกใบนี้เริ่มมาจาก Google ครับ
และถ้าคุณรวมเซิชเอ็นจิ้นตัวอื่นด้วย เช่น Bing กับ Yahoo คุณจะเห็นได้ว่า กว่า 70% ทราฟฟิคมาจากเซิชเอ็นจิ้นครับ
เราลองมาคำนวณจากตัวอย่างกันดูเพื่อคุณจะได้เห็นภาพชัดขึ้นว่า SEO สำคัญ อย่างไร
สมมติว่าคุณจะทำเว็บเกี่ยวกับ ผลบอลสด
หากคุณทำการ Keyword Research คุณจะเห็นได้ว่ามีคุณเซิชคำว่า ผลบอลสด ประมาณ 13.6 ล้านคนต่อเดือนครับ
ถ้าเราลองมาคิดเล่นๆว่า เว็บที่ติดอันดับแรกบน Google จะได้ประมาณ 20% ของจำนวนคลิกทั้งหมด แสดงว่าคุณจะได้คนเข้าเว็บจาก การทำ SEO ประมาณ 2,720,000 คน ครับ
ทีนี้เราลองมาแปลงเป็นรายได้กันครับ สมมติว่าคนที่ต้องการโฆษณาคำว่า ผลบอลสด ยอมจ่ายเงินให้กับ Google ประมาณ 50 บาทต่อคลิก แสดงว่า เขาจะต้องลงทุนค่าทำการตลาดออนไลน์ไปทั้งหมด 136 ล้านบาท ต่อเดือน ครับ และนั่นเป็นเพียงแค่ค่าใช้จ่ายสำหรับ SEM คีย์เวิร์ดเดียวนะครับ
แต่ถ้าคุณทำ SEO คุณสามารถติดอันดับได้เป็นร้อยเป็นพันคีย์เวิร์ดครับ
ในบางอุตสาหกรรม เช่น ประกัน หรือ อสังหาริมทรัพย์ ค่าโฆษณาจะยิ่งแพงกว่า 50 บาทต่อคลิกอีกครับ
เห็นแล้วใช่มั้ยครับ ว่า SEO สำคัญ อย่างไร
ลูกค้า และ คีย์เวิร์ด
ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นลงมือทำ SEO สิ่งแรกที่คุณควรจัดการให้ชัดเจนก่อนก็คือ ค้นคว้าเกี่ยวกับ ลูกค้า และ คีย์เวิร์ด ครับ
คุณต้องหาให้เจอก่อนว่า ลูกค้าของคุณ ต้องการอะไร และเขาจะเซิชคำว่าอะไร แบบตรงตัว เมื่อคุณหาเจอแล้ว คุณจึงจะสามารถทำให้เว็บของคุณติดอันดับในคีย์นั้นได้ครับ พอเข้าใจแล้วใช่มั้ยครับ งั้นเราลองมาดูกันครับ
Customer Research หากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
สมมติว่าคุณกำลังจะทำธุรกิจออนไลน์ เกี่ยวกับ ผลบอลสด คุณคงพอมีไอเดียอยู่บ้างว่าลูกค้าจะเป็นใคร
ยกตัวอย่างเช่น
เพศ: ผู้ชาย
อายุ: 18 – 40 ปี
ความสนใจ: ชอบดูบอล หรือ ดูบอลออนไลน์ ดูบอลพรีเมียร์ลีก
ความต้องการ: เช็คผลบอลสด ณ เวลานั้นทันที อัพเดตตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ดูผ่านมือถือได้ ทุกที่ ทุกเวลา
เป้าหมาย: เช็คผลบอลเพื่อไปคุยกับเพื่อนได้สนุก
การทำ Customer Research แบบนี้ ไม่ได้มีผลดีแค่กับการคิดค้น Product ให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายครับ แต่ยังเป็นปัจจัยสำคุญในการทำ SEO และการสร้างคอนเทนต์ที่ดีครับ
การที่คุณจะประสบความสำเร็จกับ SEO คุณจะต้องสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับหัวข้อที่กลุ่มลูกค้าเซิชหาครับ
และถ้าคุณไ่ม่รู้ว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณคือใคร มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะเข้าใจว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการค้นหาคืออะไร และจะทำให้เขาสนใจเว็บไซต์ของคุณได้อย่างไร
วิธีหนึ่งที่คุณจะสามารถค้นหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ก็คือการใช้ Make My Persona
การใช้เครื่องมือออนไลน์นี้ก็ไม่ยากอะไรครับ เขาจะมีสเต็ปสอนวิธีการใช้งานอยู่แล้ว เมื่อทำเสร็จแล้ว คุณสามารถย้อนกลับไปดูได้ตลอดเวลาครับ
Keyword Research หา คีย์เวิร์ด
หลังจากที่คุณได้ทำการค้นหากลุ่มลูกค้าแล้ว อันดับต่อไปคุณควรมาค้นหา คีย์เวิร์ด กันครับ
เริ่มจากให้คุณไปเว็บ Ubersuggest
ให้คุณใส่ คีย์เวิร์ด ที่ต้องการเข้าไป แล้วเลือกประเทศ หลังจากนั้นก็ลองกด Search ดูได้เลยครับ
เสร็จแล้ว จะมีหน้าแนะนำ คีย์เวิร์ด ขึ้นมา และยังมีหน้า คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคำค้นหาพวกนั้น ให้คุณเก็บเอาไว้เป็นไฟล์ Excel ก็ได้ครับ เพื่อจะได้นำมาใช้ประโยชน์ต่อในการคิดคอนเทนต์ที่จะเขียน
จะเห็นได้ว่ามีข้อมูลของวอลลุ่มการเซิชต่อเดือนด้วยครับ ยิ่งคีย์เวิร์ดไหนติดยาก ยิ่งมีวอลลุ่มการเซิชเยอะครับ แปลว่าจะได้ทราฟฟิกเยอะตามไปด้วย
แต่กระนั้น ผมก็ไม่อยากให้ทุกคนมุ่งไปสู่ คีย์เวิร์ดหลัก อย่างเดียว เพราะโอกาสที่จะติดอันดับนั้นไม่ได้ง่ายเลย คุณควรจะให้ความสำคัญกับ Long-Tail Keywords ด้วยครับ เพื่อว่าคุณจะได้เปิดประตูรับโอกาสนำทราฟฟิกเข้าเว็บคุณอีกทาง
คุณสามารถดูวิดิโอหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Keyword Research ได้ที่นี่ครับ
คอนเทนต์ สำหรับ SEO
ต้องบอกเลยว่า การทำ SEO ก็คือการทำ คอนเทนต์ นั่นเอง
ดูเผินๆ การที่คุณลงคอนเทนต์ที่ดีกว่า คุณก็สามารถจะทำให้เว็บของคุณอยู่อันดับสูงกว่าได้ครับ แต่จริงๆแล้วไม่ได้ง่ายแค่นั้นหรอก อย่างน้อยก็รู้ไว้ว่าคอนเทนต์ที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
สร้างบทความที่มีคุณภาพ
เวลาที่คุณได้ยินคำว่า Content is King เขาหมายถึงบทความที่ดีที่ถูกเผยแพร่ออกไป ไม่ใช่หน้าเว็บขายของอย่างเดียว
และแน่นอนครับว่า Google ชอบ คอนเทนต์ดีๆ
ลิสต์รายการ
ถ้าคุณสามารถทำลิสต์รวบรวมสิ่งที่น่าสนใจเป็นบทความได้ Google จะชื่นชอบเว็บของคุณอย่างมากครับ
ผมขอยกตัวอย่างเว็บของลูกค้าเราเอง Roijang.com หน้าเว็บบล็อกรวบรวมลิสต์รายการร้านนั่งชิล เขาหลัก ได้ขึ้นเป็น Featured Snippet
สเต็ป ขั้นตอน วิธีทำ
การสอนให้ความรู้คนเป็นสิ่งที่ Google ชอบมาก ครับ ยิ่งคุณสร้างคอนเทนต์สอนเป็นขั้นเป็นตอนแบบละเอียดถี่ยิบเท่าไร ยิ่งเป็นผลดีต่อเว็บคุณ
อย่าลืม Visual Content
การใส่พวก infographics เข้าไปในคอนเทนต์ของคุณ จะช่วยให้คนอ่านรู้สึกเพลิดเพลินและเกิดความสนใจกับสิ่งที่คุณกำลังสื่อ
SEO แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ทั้งสองอย่างนี้ต้องทำควบคู่กันไป แล้วจะได้ผลดี ติดหน้าแรก Google ได้ในเร็ววันครับ
เรามาดูกันครับว่ารายละเอียดของแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง
On Page SEO
มีสามหมวดหมู่ใหญ่ ๆ ของ On Page SEO ที่คุณจะต้องพิจารณา สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือ เนื้อหา
เนื้อหา
คุณคงเคยได้ยินมาก่อน: “เนื้อหาคือราชา” Bill Gates ได้ทำนายไว้ในปี 1996 และมันก็เป็นจริงเช่นเคยในปัจจุบัน
ทำไมน่ะเหรอ?
เนื่องจากลูกค้าจะชอบเครื่องมือค้นหาของ Google เมื่อเขาพบผลลัพธ์ที่ตอบสนองความต้องการของเขามากที่สุด
เมื่อคุณเซิช “วิธีทำเค้กช็อคโกแลตที่ง่ายและรวดเร็ว” Google จะทุ่มเทแรงกายแรงใจในการส่งมอบสิ่งที่ Google เชื่อว่าเป็นสูตรที่ดีที่สุดในการทำเค้กช็อคโกแลต (ที่ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยและใช้ส่วนผสมไม่กี่อย่าง) บนเว็บให้กับคุณ
เขาไม่ได้มองหา เพียงแค่ สูตรอาหารที่เร็วที่สุด หรือ เพียงแค่ สตรที่ง่ายที่สุดหรือโยนร้านค้าออนไลน์มากมายสำหรับเค้กช็อกโกแลตแบบแช่แข็ง แต่เขากำลังพยายามหาที่จะให้สิ่งที่คุณอยากเห็น
Google พยายามมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคุณอยู่เสมอโดยนำคุณไปยังเนื้อหาที่ดีที่สุดที่จะพบได้
ซึ่งหมายความว่างานอันดับหนึ่งของคุณที่จะทำได้ดีกับ SEO คือการสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมนั่นเอง
คณเป็นขี้เกียจใช่มั้ย? คุณต้องทำงานหนักในการทำ SEO ครับ!
SEO ไม่แตกต่างจากทักษะอื่นๆ : ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมักจะมาจากความพยายามอย่างมาก
เช่นเดียวกันครับ ช่องทางการตลาดที่ดีที่สุดในโลกจะไม่ช่วยให้คุณขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ดี
SEO จะไร้ประโยชน์หากคุณมีเนื้อหาที่ไม่ดี
ปัจจัยที่ประกอบเป็นเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมในสายตาของ Google มีดังนี้
คุณภาพ
แม้ว่าช่วงเวลาที่การนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพดีที่สุดจะทำให้คุณโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ นั้นหมดยุคไปแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับความพยายามในการทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จสำหรับธุรกิจออนไลน์
แต่การสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ท้ายที่สุดหมายความว่าคุณต้องเป็นครู – และเป็นคนดีในเรื่องนั้น
แต่คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์ คุณมักจะเริ่มต้นด้วยการ เลือกใช้เนื้อหาที่คนอื่นสร้างไว้ แล้วทำให้ดีขึ้นยาวขึ้นและเจาะลึกมากขึ้น
หรือบางทีคุณอาจมีความคิดของคุณเองอยู่แล้ว หากคุณทำเช่นนั้นก็อาจคุ้มค่าที่จะ ระดมความคิดสักระยะหนึ่งแล้วหาบรรทัดแรกที่น่าสนใจ เพื่อเริ่มต้น
แม้ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ แต่คุณสามารถใช้แนวทางระดับมืออาชีพในการสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมได้โดยเพียงแค่มุ่งมั่นที่จะ เขียนให้เป็นกิจวัตรประจำวัน และพยายามเพิ่มขึ้นทีละน้อยจากที่นั่น
การใช้ Keywords
Google ฉลาดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าคุณควรใช้ คีย์เวิร์ด ของคุณตลอดทั้งเนื้อหาของคุณ แต่การปั๊ม คีย์เวิร์ด ของคุณในข้อความของคุณให้มากที่สุดจะส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของคุณแทนที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น
การปั๊มคีย์เวิร์ดในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างมาก
ปัจจุบันการใช้คีย์เวิร์ดมีความหมายมากขึ้น Google เข้าใจความหมายของคีย์เวิร์ดของผู้ค้นหาได้ดีมากจนน่าขนลุก
ไม่เพียง แต่ดูที่คำหลักของคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคำพ้องความหมายของคำหลักเพื่อทำความเข้าใจความหมายของคุณเมื่อคุณพิมพ์ข้อความเช่น “five guys nyc”
Google จะรู้ว่าคุณอาจไม่ได้มองหาผู้ชายแบบสุ่ม 5 คน ในนครนิวยอ์ค แต่มันเดาว่าคุณกำลังมองหาร้านอาหาารฟาสต์ฟู้ด “Five Guys, Burgers & Fries” โดยดูจากการค้นหาที่คล้ายกันซึ่งอาจมีคำหลัก “เบอร์เกอร์” และ “เฟรนช์ฟราย”
ตราบใดที่คุณตรวจสอบให้แน่ใจว่า คีย์เวิร์ด ของคุณอยู่ในตำแหน่งที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ (เช่น บรรทัดแรก, URL และ Meta Description) คุณไม่จำเป็นต้องพูดถึงคำหลักนั้นในข้อความของคุณหลายครั้ง
เพียงแค่มุ่งเน้นไปที่ผู้อ่านและ เรียบเรียงคำหลักของคุณอย่างราบรื่น
ความสดใหม่ของเนื้อหา
Hubspot ได้ทำเกณฑ์มาตรฐาน ในปีนี้ซึ่งแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าการโพสต์บ่อยขึ้นช่วยปรับปรุงอันดับของ Google
อย่างไรก็ตามการโพสต์เนื้อหาใหม่เป็นเพียงวิธีหนึ่งในการส่งสัญญาณความสดใหม่ของเนื้อหา
มีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำอะไรกับเนื้อหาที่คุณได้รับการตีพิมพ์แล้วที่จะทำให้มันใหม่กว่าเก่าอยู่เสมอ
ตัวอย่างเช่น Brian Dean จาก Backlinko ได้เผยแพร่ โพสต์ประมาณ 30 โพสต์ในสองปี เท่านั้น แต่เขายังคงอัปเดตโพสต์ทั้งหมดโดยเขียนใหม่และเพิ่มข้อมูลใหม่เมื่อพบเจอ
สิ่งสำคัญคือ คุณจะได้รับผลดีจากการโพสต์เดือนละครั้งตราบใดที่คุณโพสเนื้อหาอย่างละเอียดและเป็นเชิงลึก
HTML
เมื่อคุณแน่ใจแล้วว่าเนื้อหาของคุณใช้ได้แล้ว สิ่งถัดไปที่คุณต้องดูแลคือ HTML
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียนโค้ดมืออาชีพหรือได้รับปริญญาด้านการเขียนโปรแกรมด้วยวิธีใดๆ แต่การทำงานออนไลน์โดยไม่ทราบพื้นฐานของ HTML จะเหมือนกับการขับรถโดยไม่รู้ว่าสีของสัญญาณไฟจราจรหมายถึงอะไร
โชคดีที่สถาบันต่างๆเช่น Codecademy หรือ Khan Academy ช่วยให้คุณได้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับ HTML ที่คุณต้องการได้ในพริบตาและในราคาฟรี
Title
Title ก็เหมือนกับหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์ ชื่อนี้คือสิ่งที่ปรากฏในแท็บของเบราว์เซอร์ของคุณเมื่อคุณเปิดเพจใหม่
สำหรับคนทั่วไปจะเรียกว่า Title แต่เมื่อพูดถึงบล็อกมักจะกลายเป็นแท็ก h1 ซึ่งย่อมาจาก head of the first order
ทุกหน้าควรมีแท็ก h1 เพียงแท็กเดียวเพื่อให้ Google แสดงชื่อได้ชัดเจน
Meta description
Meta description คือคำอธิบายสั้นๆเกี่ยวเกับหน้าเว็บเพจ
เวลา Google แสดงหน้าเว็บของคุณเป็นผลลัพธ์แก่ผู้ค้นหา จะดูออกได้ง่ายๆเลยว่าใครทำการบ้าน SEO และใครที่ไม่ได้เขียนคำอธิบายเมตา
อย่าคิดมากเกินไปสำหรับข้อมูลโค้ดข้อความ 160 ตัวนี้ เมื่อเขียนคุณควรคำนึงถึงผู้ค้นหาจริงๆมากกว่าเครื่องมือค้นหาของ Google
Schema
Schema เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันของเครื่องมือค้นหาต่างๆ
โดยพื้นฐานแล้วเป็นเพียงแท็ก HTML ส่วนย่อยที่จะปรับปรุงวิธีแสดงหน้าผลลัพธ์ของในการแสดงเนื้อหาของคุณ
เช่น ถ้าเราเซิชเกี่ยวกับชื่อหนัง Google จะแสดงรายละเอียดของภาพยนตร์ได้ถูกต้อง พร้อมกับแสดง เรตติ้งให้ด้วย
ทั้งหมดนี้คุณสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณได้ด้วยเครื่องมือที่ชื่อว่า Yoast SEO
รายละเอียดการใช้งาน ผมจะอธิบายให้ฟังในอีกบทความหนึ่ง
โครงสร้าง
ส่วนที่สามและสุดท้ายของ On Page SEO ที่ผมจะกล่าวถึงคือ สถาปัตยกรรมของเว็บไซต์ เป็นสิ่งง่ายๆที่ทุกคนสามารถทำได้และควรดูแลเพื่อปรับปรุงอันดับ SEO
สถาปัตยกรรมเว็บไซต์ ที่ดี นำไปสู่ประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ใช้ (UX) เมื่อเขาหรือเธอไปที่หน้าของคุณ โดยมุ่งเน้นไปที่สิ่งต่างๆเช่นเวลาในการโหลดที่รวดเร็วการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและการออกแบบที่เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างมือถือและแท็ปเล็ต
Mobile Friendliness
คุณลองดูหน้าเว็บนี้ เว็บ Soccersuck ที่แฟนบอลคงรู้จักกันดี ถ้าเปิดในมือถือ จะออกมาหน้าตาแบบนี้
ขณะที่อีกเว็บหนึ่งคือเว็บ siamsport เวลาเปิดบนมือถือ หน้าตาจะเป็นแบบนี้ครับ
คุณว่าแบบไหนคนดูจะชอบมากกว่ากันครับ?
แน่นอนต้องเป็นแบบที่สอง เพราะอ่านง่าย เลื่อนง่าย ไม่เกะกะรกตา
คุณสามารถทดสอบเว็บไซต์ของคุณดูได้ว่า Mobile-Friendly หรือไม่
Page Speed
อย่าหลอกตัวเองครับ คุณรู้ว่าสิ่งนี้สำคัญแค่ไหน
จำได้ไหมว่าคุณหัวร้อนครั้งล่าสุดที่ WiFi ใช้เวลาโหลดหน้าเว็บเกิน 20 วินาที?
วันนี้เราให้ความสำคัญกับเวลาของเรามากกว่าสิ่งใดๆ เวลาโหลดเว็บนานๆแน่นอนสามารถฆ่าคุณได้
ล่าสุด Google พิสูจน์จุดนี้ การวิจัยของพวกเขาแสดงให้เห็นว่า “ความน่าจะเป็นที่จะมีคนออกจากไซต์ของคุณเพิ่มขึ้น 113% หากใช้เวลาโหลดเกิน 7 วินาที”
ความปลอดภัย SSL และ HTTPS
Google ถือว่า ความปลอดภัยเป็นสัญญาณการจัดอันดับมาระยะหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม Google ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น
ตอนนี้พวกเขายังเตือนผู้คนเมื่อเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
การแจ้งเตือนเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วจะบอกผู้คนว่าอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับเว็บไซต์ของคุณ (หรือที่แย่กว่านั้นคือหมายเลขบัตรเครดิตของพวกเขา)
Off Page SEO
ได้เวลาออกไปข้างนอกบ้านแล้ว ไปดูสวนหน้าบ้านกันดีกว่าครับ ผมจะอธิบายถึงปัจจัยหลักๆจของ Off Page SEO ให้ฟังกันครับ
แบ็คลิงค์
ความคิดที่ว่า ทำแบ็คลิงค์ อย่างเดียวก็ติดหน้าแรกได้ ไม่เป็นจริงอีกต่อไปครับ
ลิงค์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ SEO เช่นเดียวกับสิ่งอื่น ๆ ที่ผมพูดถึงไปแล้ว
มีมากมายหลายวิธีที่จะได้รับแบ็คลิงค์จากเว็บอื่น
แต่ไม่ว่าคุณจะทำอะไรอย่ารอให้คนอื่นเชื่อมโยงถึงคุณ นั่นเป็นเกมของคนโง่ คุณจะต้องใช้ความคิดริเริ่มและขอให้พวกเขาเริ่มลิงค์มาหาคุณ
กรุณาพิจารณาปัจจัยทั้งสามนี้เวลาที่คุณกำลังพยายามสร้าง แบ็คลิงค์:
คุณภาพและจำนวนของลิงค์
แม้ว่าลิงค์จะไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่เมื่อดูลิงก์ แต่คุณภาพของลิงก์ก็คือทุกสิ่ง คุณภาพของเน็ตเวิร์คของคุณ มีความสำคัญมากขึ้นกว่าจำนวนแบ็คลิงค์ที่คุณมี
การสร้างลิงก์ย้อนกลับที่มีคุณภาพคือการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เหมาะสมและเสนอคุณค่าเพื่อแลกกับลิงก์ที่มั่นคง ผมแสดงให้คุณตันของวิธีการที่จะทำเช่นนี้ในของเราคู่มือขั้นสูงเพื่อสร้างการเชื่อมโยง
คนส่วนใหญ่ดูที่จำนวนลิงก์ทั้งหมดเท่านั้น
และนั่นเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงด้วยเหตุผลบางประการ
- Google อาจเพิกเฉยต่อลิงก์ส่วนใหญ่หากเป็นลิงก์คุณภาพต่ำหรือเป็นสแปม
- ลิงก์จากไซต์ใหม่เอี่ยมมีค่ามากกว่าลิงก์ซ้ำจากไซต์ที่มีอยู่ (Referring Domains)
- ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมีค่ามากกว่าลิงก์จำนวนมากจากไซต์ของคุณเอง (Internal Links)
เมื่อคำนึงถึงสิ่งเหล่านั้นแล้ว ตอนนี้ผมจะให้คุณดูภาพนี้
นี่คือเว็บที่คุณควรตั้งเป็นไอดอลหรือแบบอย่าง หากอยากทำ SEO ให้ได้ผล
ที่ SEOFastwork เราสามารถสร้างแบ็คลิงค์ คุณภาพ และ จำนวน เยอะได้ทั้งคู่
และควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อเอาชนะคู่แข่งในคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ
หากต้องการใช้บริการของเรา ลองกลับไปดูหน้านี้กันครับ
Domain Age
อายุของโดเมน สำคัญเหมือนกันครับ ยิ่งเว็บที่เปิดมานานแล้วอย่าง sanook.com ที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว มีความน่าเชื่อถือมากกว่าเว็บที่เปิดใหม่ ในสายตาของ Google
ดังนั้น อาจจะเป็นไอเดียที่ดี หากคุณกำลังจะทำธุรกิจออนไลน์ โดยไปซื้อเว็บที่เปิดมานานแล้ว ก็ได้ครับ
Social
สุดท้ายนี้เรามาดูปัจจัยทาง Social กับ SEO นอกจากสัญญาณโซเชียลโดยตรงจากผู้ค้นหาแล้วยังมีวิธีอื่น ๆ ที่ผลลัพธ์ที่ดีบนโซเชียลมีเดียจะช่วยให้คุณได้อันดับที่ดีขึ้น
มีสองปัจจัยหลักของอิทธิพลจาก Social Media
คุณภาพของการแชร์
เราลองมาดูตัวอย่างเว็บ Ripple.com ซึ่งเป็นบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ในอเมริกา
การที่ CEO ของ เขา Brad Garlinghouse ทวีตข้อความเกี่ยวกับโพสใหม่ที่ลงบนหน้าเว็บ ช่วยในเรื่องของ SEO อย่างมาก เนื่องจากการแชร์นี้มี คุณภาพสูง
จำนวนของการแชร์
ซึ่ง Brad เองก็มีคนติดตาม Twitter อยู่ 3 แสนกว่าคนครับ แปลว่า จำนวนของการแชร์ ก็จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นเช่นกัน
แต่ถามว่า ระหว่าง คุณภาพ กับ จำนวนการแชร์ อะไรสำคัญกว่ากัน
Google ได้บอกไว้ว่า คุณภาพ สำคัญกว่าครับ
สรุป
SEO คือ การทำตลาดออนไลน์ที่ดีและสำคัญมากในการดึงคนเข้าเว็บของคุณ คอนเทนต์ของเว็บไซต์คุณเป็นปัจจัยหลักที่จะดันอันดับให้ติดหน้าแรกได้ แต่กระนั้น ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายที่จะต้องคำนึงถึง เราเข้าใจว่าคุณจะปวดหัวกับมันอีกเยอะ หากไม่ต้องการยุ่งเรื่องพวกนี้ ให้เราช่วยบริการ ทำ SEO ให้คุณสิครับ รับรองว่าได้ผลดีแน่นอน!
SEO คือ อะไร?
SEO คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือค้นหา Google ซึ่งเป็นศิลปะในการดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นในเครื่องมือค้นหาด้วยการที่ไม่ได้เสียเงินยิงแอด
SEO ใช้เวลานานแค่ไหน?
หากคุณกำหนดเป้าหมายคีย์เวิร์ดที่แข่งขันได้ SEO อาจใช้เวลานานกว่า 6 เดือนถึงหนึ่งปี
เนื้อหาที่ซ้ำกันทำร้าย SEO ของคุณหรือไม่?
Google ไม่ลงโทษเว็บไซต์คุณสำหรับเนื้อหาที่ซ้ำกัน
ปัจจัยอะไรสำคัญในการสร้างแบ็คลิงค์?
Google จะพิจารณาความเกี่ยวข้องของไซต์ที่เชื่อมโยงกับคุณ เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงเป็นที่รู้จักกันดีเพียงใด ลิงก์ที่คุณมีทั้งหมดกี่ลิงก์ และข้อความ Anchor Text ของแต่ละลิงก์
ทำไม SEO จึงสำคัญ?
กิจกรรมในโลกออนไลน์ส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยการเซิชบน Google และเกือบ 75% ของผู้ค้นหาเริ่มต้นการค้นหาบน Google